บทที่1 : ปฐมบทแห่งสงครามศักดิ์สิทธิ์
หน้า 1 จาก 1
27112010
บทที่1 : ปฐมบทแห่งสงครามศักดิ์สิทธิ์
เริ่มเลยละกัน กับสองบทแรก นิยายเรื่องแรกของผมฉบับเอามาเขียนใหม่ครับผม
(หลานผู้พันคาร์เตอร์ ณ อสุรา < หายสงสัยแล้วใช่มั้ยว่านี่ใคร =w=)
คำเตือน!!
-เนื้อหานิยายนี้ Y ค่อนข้างเยอะในกลางเรื่อง-หลังๆ
-จะไม่มีการเซ็นเซอร์ใดๆ กรณีเป็นการแต่งโดย(น้ำมือ)ผู้อื่น แล้วฝากให้พิมพ์+ลงเพิ่ม
-จขกท. ไม่เคยแต่งเรท21+
-อย่าอ่านผ่านๆ ไม่งั้นท่านจะงงสุดติ่ง ...
บทที่1 : ปฐมบทแห่งสงครามศักดิ์สิทธิ์
... นานมาแล้ว ครั้งที่โลกยังมีแต่ความว่างเปล่า อควา อิกนัส เวนทัส เทอร์ร่า และลูซิส
บรรดามหาเทพในสรวงสวรรค์ได้ให้กำเนิดสิ่งต่างๆบนพื้นโลกอันว่างเปล่า ...
มหาเทวีลูซิส มอบแสงสว่างให้กับโลก พร้อมด้วย อควา สร้างผืนน้ำมหาสมุทรอันกว้างใหญ่ พร้อมด้วยสัตว์น้ำนานาชนิด
เวนทัสแบ่งร่างเป็นสายลมโอบอุ้มโลกใบนี้ไว้ด้วยความอบอุ่น ในขณะเดียวกันเทอร์ร่าเนรมิตผืนแผ่นดินและพืชพรรณ
อิกนัสหลอมผืนดินเป็นเหล่าสรรพสัตว์ และสุดท้าย อาทรัม เทวีแห่งความมืด ได้มอบความมืดมิดให้กับโลก
ในเวลาไม่นาน ถึงคราวกำเนิดสิ่งมีชีวิตผู้มีอารยะธรรม อาทรัมได้สร้างสิ่งมีชีวิตที่ตนคิดว่าสมบูรณ์แบบที่สุดขึ้นมา
มันคือ มังกร มันเริ่มวิวัฒนาการจนกลายเป็น ซอร์เรี่ยนซึ่งมีความเฉลียวฉลาดและจินตนาการที่กว้างไกล
เทอร์ร่าได้สร้างอสุรา สิ่งมีชีวิตที่มีร่างกายใหญ่โตขึ้นมาพร้อมด้วยชาวสมิง
เวนทัสได้สร้างชนเผ่าเอลฟ์ซึ่งมีความคล่องแคล่ว เฉลียวฉลาด ปัญญาสุขุม และร่างกายที่งดงาม
อิกนัสได้ยืมพลังของอาทรัมมากึ่งหนึ่ง พร้อมกับสร้างกอบลิน
และมอบเปลวเพลิงแห่งปัญญา ความสามารถในการหลอมอาวุธให้กับพวกเขา
มีแต่อควาเท่านั้นที่ไม่ได้สร้างชนเผ่าใดขึ้นมาเลย
เมื่อเห็นดังนั้น ลูซิสจึงได้สร้างสิ่งมีชิวิตตามแบบของตนขึ้นมาบ้าง
นางรวบรวมจุดเด่นของทุกชนเผ่ามาสรรค์สร้างเป็นสิ่งมีชีวิตที่สมบูรณ์แบบ
ท้ายที่สุด มนุษย์ ก็ได้ถือกำเนิดขึ้นมา พร้อมกับอสูรที่เกิดจากการกลายพันธุ์ของสิ่งมีชีวิตที่เคยอาศัยอยู่บนโลกก่อนแล้ว
ชนเผ่าทั้งห้า มนุษย์ เอลฟ์ ซอร์เรี่ยน อสุรา และอสูร ล้วนแต่อยู่ด้วยกันด้วยการแก่งแย่งชิงดีชิงเด่น
โดยเผ่าเอลฟ์และซอร์เรี่ยนต่างเป็นมหาอำนาจในแผ่นดิน
ในที่สุด สงครามแย่งชิงดินแดนก็ปะทุขึ้น ลูซิสได้ยื่นมือเข้ามาช่วยมนุษย์ในสงครามครั้งนั้น
อาทรัม องค์เทวีแห่งรัตติกาลจึงไม่พอใจเป็นอย่างมาก เทพทั้งสองจึงก่อสงครามกันมาเป็นเวลานาน
เพราะทั้งสองเป็นอมตะทั้งคู่จึงไม่มีใครเอาชนะอีกฝ่ายได้
ลูซิสจึงตัดสินใจผนึกอาทรัมลงในลูกแก้วขององค์เทวีแห่งความมืดเอง
ก่อนจะแบ่งลูกแก้วนั้นเป็นเก้าส่วน แล้วทิ้งลงมาบนพื้นโลก
ในไม่นาน นักสำรวจกลุ่มหนึ่งได้ค้นพบชิ้นส่วนลูกแก้วในใจกลางน้ำวนขนาดใหญ่ที่ขวางกั้นดินแดนของซอร์เรี่ยนและอาณาจักร
ของมนุษย์เมื่อนำมันออกมา น้ำวนนั้นค่อยๆสงบลงอย่างช้าๆ จนสร้างความฉงนให้กับนักสำรวจกลุ่มนั้น
นักเล่นแร่แปรธาตุชาวมนุษย์ได้ค้นพบว่า เศษเสี้ยวของลูกแก้วประหลาดนั้นมีพลังอันมหาศาล สามารถใช้สร้างสรรค์หรือทำลายสิ่ง
ต่างๆได้อย่างเกรงขาม ทางจักรวรรดินำมันไปดัดแปลงเป็นอาวุธของกองทัพ
ซึ่งไม่เคยถูกนำออกมาสู่สายตาของประชาชนเลย
ซอร์เรี่ยนและอสูรซึ่งเป็นชนเผ่าที่มีความโลภ ได้พยายามก่อสงครามเพื่อแย่งชิงขุมอำนาจอันยิ่งใหญ่
สงครามแย่งชิงเศษเสี้ยวของลูกแก้วจึงได้อุบัติขึ้น แต่ละชนเผ่าซึ่งรู้ข่าวคราวของขุมพลังอันยิ่งใหญ่นั้น
ได้ออกค้นหาเศษลูกแก้วที่เหลือ และนำมันมาใช้ในสงครามครั้งนั้น
เอลฟ์และมนุษย์สงบศึกกันเพื่อช่วยปกป้องแผ่นดินของตน อสุราต่างยืนยันอุดมการณ์ในการอยู่อย่างสันโดษ
.... พลังของเศษลูกแก้วทั้งเก้าน่ากลัวยิ่งนัก อาณาบริเวณทั้งหมดในสนามรบถูกเปลี่ยนให้เป็นนรกในพริบตา ….
ทั้งท้องฟ้าที่ร้อนรุ่มราวกับเปลวเพลิง แผ่นดินไหวรุนแรงพร้อมด้วยแผ่นดินที่แยกออกเป็นหุบเหว อุกกาบาตเพลิงขนาดใหญ่ น้ำพุใต้
ดินขนาดยักษ์ และอสูรกายเหนือจินตนาการนับไม่ถ้วน
บริเวณไอรอนวิลล์และอีสวอลเลย์ (ป้อมปราการตะวันออก-เมืองเดธวอลเล่ย์ในปัจจุบัน)
ได้กลายเป็นสนามในการรบครั้งใหญ่ ซึ่งชนเผ่าทั้งห้าได้สู้กันอย่างถึงที่สุด
จนสุดท้าย มนุษย์ได้มีชัยเหนือชนเผ่าทั้งปวง ด้วยอาวุธที่คร่าชีวิตของประชาชนจำนวนมหาศาลมาเป็นพลัง
แลกกับพลังในการสังหารทุกสิ่งในสนามรบ ไม่เว้นแม้แต่มนุษย์ผู้ไร้เวทมนตร์ปกป้อง
จนนับว่าเป็นชัยชนะที่แลกมาด้วยเลือดของพี่น้องและเผ่าพันธุ์
แต่ในการรบครั้งนั้น เศษเสี้ยวของลูกแก้วได้สูญหายไปเจ็ดดวง
ด้วยฝีมือของนักเวทแห่งชนเผ่าอสุราที่ได้ส่งให้เศษลูกแก้วกระจายไปตามสถานที่ต่างๆ
ประชาชนเผ่าเอลฟ์ได้หลบหนีเข้าไปในป่าลึก เผ่าซอร์เรี่ยนได้อพยพไปบริเวณแผ่นดินเหนือ
อสุราทั้งหมดหายสาบสูญ และอสูรได้กระจัดกระจายไปตามที่ต่างๆ
ในวันนั้นได้มีมนุษย์ผู้หนึ่งทำนายไว้
“หากวันใดเศษเสี้ยวของลูกแก้วทั้งเก้านั้นมารวมตัวกันในมือคนชั่ว
กองทัพแห่งซอร์เรี่ยนจะกลับมา มหาสงครามจะบังเกิด แผ่นดินจะลุกเป็นไฟอีกครั้ง”
เรื่องทั้งหมดนี้กลายเป็นตำนานที่เล่าขานกันมาจนเหมือนเป็นนิยายปรัมปราโดยที่ไม่มีใครรู้เลยว่า มันคือความจริง...
(หลานผู้พันคาร์เตอร์ ณ อสุรา < หายสงสัยแล้วใช่มั้ยว่านี่ใคร =w=)
คำเตือน!!
-เนื้อหานิยายนี้ Y ค่อนข้างเยอะในกลางเรื่อง-หลังๆ
-จะไม่มีการเซ็นเซอร์ใดๆ กรณีเป็นการแต่งโดย(น้ำมือ)ผู้อื่น แล้วฝากให้พิมพ์+ลงเพิ่ม
-จขกท. ไม่เคยแต่งเรท21+
-อย่าอ่านผ่านๆ ไม่งั้นท่านจะงงสุดติ่ง ...
บทที่1 : ปฐมบทแห่งสงครามศักดิ์สิทธิ์
... นานมาแล้ว ครั้งที่โลกยังมีแต่ความว่างเปล่า อควา อิกนัส เวนทัส เทอร์ร่า และลูซิส
บรรดามหาเทพในสรวงสวรรค์ได้ให้กำเนิดสิ่งต่างๆบนพื้นโลกอันว่างเปล่า ...
มหาเทวีลูซิส มอบแสงสว่างให้กับโลก พร้อมด้วย อควา สร้างผืนน้ำมหาสมุทรอันกว้างใหญ่ พร้อมด้วยสัตว์น้ำนานาชนิด
เวนทัสแบ่งร่างเป็นสายลมโอบอุ้มโลกใบนี้ไว้ด้วยความอบอุ่น ในขณะเดียวกันเทอร์ร่าเนรมิตผืนแผ่นดินและพืชพรรณ
อิกนัสหลอมผืนดินเป็นเหล่าสรรพสัตว์ และสุดท้าย อาทรัม เทวีแห่งความมืด ได้มอบความมืดมิดให้กับโลก
ในเวลาไม่นาน ถึงคราวกำเนิดสิ่งมีชีวิตผู้มีอารยะธรรม อาทรัมได้สร้างสิ่งมีชีวิตที่ตนคิดว่าสมบูรณ์แบบที่สุดขึ้นมา
มันคือ มังกร มันเริ่มวิวัฒนาการจนกลายเป็น ซอร์เรี่ยนซึ่งมีความเฉลียวฉลาดและจินตนาการที่กว้างไกล
เทอร์ร่าได้สร้างอสุรา สิ่งมีชีวิตที่มีร่างกายใหญ่โตขึ้นมาพร้อมด้วยชาวสมิง
เวนทัสได้สร้างชนเผ่าเอลฟ์ซึ่งมีความคล่องแคล่ว เฉลียวฉลาด ปัญญาสุขุม และร่างกายที่งดงาม
อิกนัสได้ยืมพลังของอาทรัมมากึ่งหนึ่ง พร้อมกับสร้างกอบลิน
และมอบเปลวเพลิงแห่งปัญญา ความสามารถในการหลอมอาวุธให้กับพวกเขา
มีแต่อควาเท่านั้นที่ไม่ได้สร้างชนเผ่าใดขึ้นมาเลย
เมื่อเห็นดังนั้น ลูซิสจึงได้สร้างสิ่งมีชิวิตตามแบบของตนขึ้นมาบ้าง
นางรวบรวมจุดเด่นของทุกชนเผ่ามาสรรค์สร้างเป็นสิ่งมีชีวิตที่สมบูรณ์แบบ
ท้ายที่สุด มนุษย์ ก็ได้ถือกำเนิดขึ้นมา พร้อมกับอสูรที่เกิดจากการกลายพันธุ์ของสิ่งมีชีวิตที่เคยอาศัยอยู่บนโลกก่อนแล้ว
ชนเผ่าทั้งห้า มนุษย์ เอลฟ์ ซอร์เรี่ยน อสุรา และอสูร ล้วนแต่อยู่ด้วยกันด้วยการแก่งแย่งชิงดีชิงเด่น
โดยเผ่าเอลฟ์และซอร์เรี่ยนต่างเป็นมหาอำนาจในแผ่นดิน
ในที่สุด สงครามแย่งชิงดินแดนก็ปะทุขึ้น ลูซิสได้ยื่นมือเข้ามาช่วยมนุษย์ในสงครามครั้งนั้น
อาทรัม องค์เทวีแห่งรัตติกาลจึงไม่พอใจเป็นอย่างมาก เทพทั้งสองจึงก่อสงครามกันมาเป็นเวลานาน
เพราะทั้งสองเป็นอมตะทั้งคู่จึงไม่มีใครเอาชนะอีกฝ่ายได้
ลูซิสจึงตัดสินใจผนึกอาทรัมลงในลูกแก้วขององค์เทวีแห่งความมืดเอง
ก่อนจะแบ่งลูกแก้วนั้นเป็นเก้าส่วน แล้วทิ้งลงมาบนพื้นโลก
ในไม่นาน นักสำรวจกลุ่มหนึ่งได้ค้นพบชิ้นส่วนลูกแก้วในใจกลางน้ำวนขนาดใหญ่ที่ขวางกั้นดินแดนของซอร์เรี่ยนและอาณาจักร
ของมนุษย์เมื่อนำมันออกมา น้ำวนนั้นค่อยๆสงบลงอย่างช้าๆ จนสร้างความฉงนให้กับนักสำรวจกลุ่มนั้น
นักเล่นแร่แปรธาตุชาวมนุษย์ได้ค้นพบว่า เศษเสี้ยวของลูกแก้วประหลาดนั้นมีพลังอันมหาศาล สามารถใช้สร้างสรรค์หรือทำลายสิ่ง
ต่างๆได้อย่างเกรงขาม ทางจักรวรรดินำมันไปดัดแปลงเป็นอาวุธของกองทัพ
ซึ่งไม่เคยถูกนำออกมาสู่สายตาของประชาชนเลย
ซอร์เรี่ยนและอสูรซึ่งเป็นชนเผ่าที่มีความโลภ ได้พยายามก่อสงครามเพื่อแย่งชิงขุมอำนาจอันยิ่งใหญ่
สงครามแย่งชิงเศษเสี้ยวของลูกแก้วจึงได้อุบัติขึ้น แต่ละชนเผ่าซึ่งรู้ข่าวคราวของขุมพลังอันยิ่งใหญ่นั้น
ได้ออกค้นหาเศษลูกแก้วที่เหลือ และนำมันมาใช้ในสงครามครั้งนั้น
เอลฟ์และมนุษย์สงบศึกกันเพื่อช่วยปกป้องแผ่นดินของตน อสุราต่างยืนยันอุดมการณ์ในการอยู่อย่างสันโดษ
.... พลังของเศษลูกแก้วทั้งเก้าน่ากลัวยิ่งนัก อาณาบริเวณทั้งหมดในสนามรบถูกเปลี่ยนให้เป็นนรกในพริบตา ….
ทั้งท้องฟ้าที่ร้อนรุ่มราวกับเปลวเพลิง แผ่นดินไหวรุนแรงพร้อมด้วยแผ่นดินที่แยกออกเป็นหุบเหว อุกกาบาตเพลิงขนาดใหญ่ น้ำพุใต้
ดินขนาดยักษ์ และอสูรกายเหนือจินตนาการนับไม่ถ้วน
บริเวณไอรอนวิลล์และอีสวอลเลย์ (ป้อมปราการตะวันออก-เมืองเดธวอลเล่ย์ในปัจจุบัน)
ได้กลายเป็นสนามในการรบครั้งใหญ่ ซึ่งชนเผ่าทั้งห้าได้สู้กันอย่างถึงที่สุด
จนสุดท้าย มนุษย์ได้มีชัยเหนือชนเผ่าทั้งปวง ด้วยอาวุธที่คร่าชีวิตของประชาชนจำนวนมหาศาลมาเป็นพลัง
แลกกับพลังในการสังหารทุกสิ่งในสนามรบ ไม่เว้นแม้แต่มนุษย์ผู้ไร้เวทมนตร์ปกป้อง
จนนับว่าเป็นชัยชนะที่แลกมาด้วยเลือดของพี่น้องและเผ่าพันธุ์
แต่ในการรบครั้งนั้น เศษเสี้ยวของลูกแก้วได้สูญหายไปเจ็ดดวง
ด้วยฝีมือของนักเวทแห่งชนเผ่าอสุราที่ได้ส่งให้เศษลูกแก้วกระจายไปตามสถานที่ต่างๆ
ประชาชนเผ่าเอลฟ์ได้หลบหนีเข้าไปในป่าลึก เผ่าซอร์เรี่ยนได้อพยพไปบริเวณแผ่นดินเหนือ
อสุราทั้งหมดหายสาบสูญ และอสูรได้กระจัดกระจายไปตามที่ต่างๆ
ในวันนั้นได้มีมนุษย์ผู้หนึ่งทำนายไว้
“หากวันใดเศษเสี้ยวของลูกแก้วทั้งเก้านั้นมารวมตัวกันในมือคนชั่ว
กองทัพแห่งซอร์เรี่ยนจะกลับมา มหาสงครามจะบังเกิด แผ่นดินจะลุกเป็นไฟอีกครั้ง”
เรื่องทั้งหมดนี้กลายเป็นตำนานที่เล่าขานกันมาจนเหมือนเป็นนิยายปรัมปราโดยที่ไม่มีใครรู้เลยว่า มันคือความจริง...
Permissions in this forum:
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
|
|