บทที่2 : กุญแจสู่ปัญหา
หน้า 1 จาก 1
28112010
บทที่2 : กุญแจสู่ปัญหา
ความเดิมตอนที่แล้ว: กาลครั้งหนึ่งในอดีตอันไกลโพ้น
บทที่2 : กุญแจสู่ปัญหา
ทางตะวันออกของเมืองเดธวอลเล่ย์ในยามราตรีถูกปกคลุมด้วยความเงียบสงัด
อุณหภูมิของทะเลทรายยามค่ำคืนแทบจะติดลบ บรรดาสัตว์มีพิษและอสูรขนาดใหญ่เริ่มออกมาเดินเพ่นพ่าน
จึงไม่แปลกที่ชาวเมืองทุกคนจะเก็บตัวอยู่ในบ้าน มีแต่บางคนเท่านั้นที่ยังจับกลุ่มตั้งวงก้งเหล้ากันที่ใจกลางของเมือง
... แต่แล้วความเงียบงันในยามค่ำคืนก็ถูกทำลายโดยเสียงฝีเท้าของคนๆหนึ่ง ....
... นาทีต่อมา เสียงที่ชวนให้ตกใจกันทั้งเมืองก็ดังขึ้น!! ...
“เฮ้ย! มันอยู่นั่นไง ตามจับให้ได้ เร็ว!!!”
เด็กหนุ่มคนหนึ่งกำลังวิ่งหนีกลุ่มพลทหารลาดตระเวนอย่างสุดชีวิต บรรดาพลลาดตระเวนพวกนั้นมีอาวุธครบมือ
ไม่ว่าจะเป็นปืนไรเฟิลกระบอกยาว ปืนสั้น หรือรวมไปถึงระเบิดขนาดเล็ก
.. ชาวบ้านหลายคนสะบัดผ้าม่านออกเพื่อจ้องมองเหตุการณ์เบื้องนอก แต่แทบทุกคนก็เมินเฉยราวกับเป็นเรื่องปกติ ..
เปรี้ยง !!
ไรเฟิลกระบอกหนึ่งถูกยิงขึ้นฟ้าเป็นเชิงขู่ เด็กหนุ่มชะงัก
กลุ่มพลลาดตระเวนตามชายหนุ่มทันที่บริเวณหน้าผาหินทางเข้าซากโบราณ พวกเขาตีวงล้อมรอบๆเด็กผู้โชคร้าย
สายตาจับจ้องราวจะกลืนกิน “แก บังอาจมากนะ ถ้าไม่มีผู้พันคาร์เตอร์คุ้มหัวแก ฉันเอาแกตายตั้งแต่เช้าแล้ว”
ฟุ่บ !! เคล้ง !!
สะเก็ดไฟของโลหะปากกระบอกปืนกระจายขึ้นเพราะการปะทะของอาวุธบิน
ฉึก !!
เงาบางอย่างพุ่งผ่านไปอย่างรวดเร็ว พลลาดตระเวนคนหนึ่งล้มลง ร่างนั้นมีบาดแผดที่คอ
เลือดสีแดงเข้มไหลลงมาย้อมผีนทรายสีเข้มคล้ายถูกกรีดด้วยของมีคมอย่างรวดเร็ว
ตุ้บ.. ฟู่ว!!
ระเบิดควันลูกหนึ่งถูกโยนเข้ามากลางวง อากาศบริเวณนั้นกลายเป็นสายธารหมอกในพริบตา!!
ฉัวะ!!
เงาลึกลับหมุนตัวตวัดอาวุธในมือทั้งสองปาดคอทหารรอบตัวโดยไม่สนใจเสียงร้องลั่นของเหยื่อผู้เคราะห์ร้าย
พลลาดตระเวนทั้งหมดถูกสังหารในไม่กี่วินาที !!
พลั่ก !!
ร่างของพลลาดตระเวนถูกเหวี่ยงมากระแทกเข้ากับเด็กหนุ่มที่กำลังช็อคกับเหตุการณ์เบื้องหน้า
ทำให้ทั้งเขาและร่างไร้วิญญาณของทหารตกลงสู่หุบเหว !!
..
.....
.........
ตูม !!
ลำธารเชี่ยวกรากเบื้องล่างถูกรบกวนด้วยบรรดาร่างไร้ชีวิต และเกือบจะไร้ชีวิตของมนุษย์
ผู้ที่ไม่เคยเหยียบย่างเข้าในในบริเวณนี้หลายร้อยปี
สายธาราพัดพาพวกเขาสู่แดนมรณะ สถานที่ไร้ชีวิตที่ขาดคนเหลียวแล
ส่วนหนึ่งของหุบเขาแห่งความตายที่ถูกผนึกมานับศตวรรษ ...
ดวงอาทิตย์ยามเช้าทอแสงผ่านยอดไม้ กระทบลงบนใบหน้าของเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่นอนหลับอยู่บนพื้นริมตลิ่ง
เขาค่อยๆเปิดตา เพื่อปรับสายตาให้ชินกับแสงของเช้าวันใหม่ พร้อมด้วยความรู้สึกหนักๆบนตัว ...
แกร๊ก!!
...... มีดบินสีดำอันหนึ่ง หล่นลงมาจากร่างไว้วิญญาณที่ทับเขาอยู่ ……
“เหวยยยย !!” เสียงร้องลั่นของเด็กหนุ่มสะท้อนไปทั่วบริเวณ ทำเอาแร้งกาที่นั่งจ้องจะจิกไส้เขากระเจิงออกไปนับสิบเมตร
ร่างของหนุ่มน้อยดิ้นรนออกจากภายใต้ร่างของศพทหาร พร้อมกวาดสายตาไปบริเวณรอบๆ อย่างร้อนรน
“พวกทหารเลวบัดโซ้บบบ พวกแกติดค้างชีวิตชั้น ชั้นจะฆ่าแก๊” ไม่ทันหายตกใจ การระบายที่บ้าคลั่งที่สุดก็เกือบบังเกิด
เมื่อเด็กหนุ่มยกเท้าจะกระทืบร่างไร้ชีวิตของทหารซ้ำ ก่อนจะหันไปเห็นสิ่งหนึ่ง
.... อะไรก็ตามที่ทำให้ชายใจแข็งยืนนิ่งได้เป็นนาที....
มันคือโครงกระดูกของสิ่งมีชีวิตคล้ายจระเข้และมนุษย์ร่างกำยำจำนวนมากกระจัดกระจายอยู่ทั่วอาณาบริเวณ
ดวงอาทิตย์โผล่พ้นยอดไม้สาดส่องสว่าง เผยภาพเบื้องหน้าให้ชัดเจนยิ่งขึ้น
... ณ แท่นหินขนาดใหญ่ตรงกลาง ปรากฏดาบเล่มหนาสนิมเขรอะปักกลางกะโหลกโครงกระดูกสิ่งมีชีวิตประหลาด
....โครงกระดูกคล้ายจระเข้ขนาดยักษ์ที่ยืนด้วยขาสองข้าง ในท่าคุกเข่า...
ในมือของมันมีขวานเล่มยักษ์ใช้ต่างเสาค้ำยันตัวมันไม่ให้ถล่มลงไปกองเป็นชิ้นๆบนพื้น
โซ่ตรวนนับสิบที่พันธนาการโครงกระดูกขนาดยักษ์ไว้อย่างหนาแน่นช่วยเพิ่มความน่าสยดสยองของมันได้อย่างดี
.... ช่องดวงตาหลุบลึกในกระโหลกดูเหมือนจะเพ่งตรงมาบริเวณที่เขายืนอยู่ .....
เด็กหนุ่มมองด้วยสายตาหวาดกลัวระคนแปลกใจ เขาก้าวขาไปเบื้องหลังช้าๆ
แต่รองเท้าหุ้มส้นตัวดีดันไปเหยียบแจกันดินเผาโบราณแตกกระจาย...
กึก.. เคล้ง !! เครื่องจองจำอายุนับร้อยปีขาดสะบั้นลงด้วยพลังบางอย่าง
ใบขวานสีน้ำตาลแดงดูร้อนเหมือนทองกำลังหลอมละลายบนด้ามขวาสีดำสนิท
พร้อมด้วยร่างของจระเข้ขนาดยักษ์บนแท่นพลันมีเนื้อหนังราวกับสิ่งมีชีวิตพุ่งตรงเข้ามาที่ตัวเขา!!
เด็กหนุ่มเงื้อมือขึ้นกัน แม้จะรู้ว่าไม่มีทางรอด
“ผมไม่ได้ทำร้ายคุณนะ!!” พลันเสียงร้องพ้นริมฝีปากเด็กน้อย คำสาปมลายไปสิ้นด้วยเงื่อนไขแห่งมนต์โบราณ
ตูม !!
ขวานยักษ์ถูกจามลงบนพื้นดินต่อหน้าผู้บุกรุกต่างเผ่าพันธุ์ ฝุ่นหินและดินกระจายขึ้นมาจำนวนมหาศาล !!
พรึ่บ !! เคล้ง!!
ดาบเหล็กเล่มใหญ่ที่เคยปักบนศีรษะจระเข้หลุดลอยเฉียดหัวเด็กหนุ่มไปกระแทกโขดหินเบื้องหลังแตกกระจาย!!
ร่างของจระเข้ยักษ์กลายเป็นเถ้าธุลีพุ่งผ่านเด็กหนุ่ม เขายกแขนขึ้นกันหน้าด้วยความหวาดกลัว
เหลือไว้เพียงขวานหินโบราณเล่มเขื่อง คาอยู่บนพื้นดินเบื้องหน้า....
ตุบ ..
ร่างอันซีดเซียวด้วยความตกใจล้มลงนั่งกับพื้น เสียงลมหายใจเฮือกใหญ่ถูกปลดปล่อยหลังจากกลั้นไว้หลายวินาที
... ขวานหินเล่มใหญ่เบื้องหน้าเป็นหลักฐานชั้นดี ว่าเหตุการณ์เมื่อครู่ได้เกิดขึ้นจริง …
รูม่านตาของเด็กหนุ่มหดเล็กลงเมื่อมองเห็นบางอย่างบนด้ามขวาน อักขระโบราณถูกจารึกไว้อย่างปราณีตงดงาม
... อักขระโบราณหน้าตาประหลาด ?? เมื่อครู่นี้มันปรากฎขึ้นอย่างช้าๆโดยเขาไม่สังเกตอย่างนั้นหรือ ? ...
ด้วยความสงสัย มือน้อยๆของเขาเอื้อมไปคว้าขวานเล่มนั้นโดยไม่ทันคิดถึงน้ำหนัก
ไม่น่าแปลกใจที่มันแทบจะไม่ขยับเขยื้อนเลย
“ฮึบ”
สองมือของเขาสั่นเทา เมื่อพยายามออกแรงกระชากขวานเล่มนั้นขึ้นมาจากผืนดิน
ฟุ่บ!!
โดยไม่ทันตั้งตัว อักขระเวทย์เคลื่อนย้ายเรืองแสงเรืองรองจากด้ามขวานด้วยแรงกระตุ้นบางอย่าง
มันส่งร่างของเด็กหนุ่มไปสู่โบสถ์แห่งแสงสว่างในเซาท์เทิร์นฟอร์ท เมืองหลวงแห่งอาณาจักร
“ว้าย !” แม่ชีสาวผู้กำลังเก็บกวาดชั้นหนังสืออุทานด้วยความตกใจ บาทหลวงลุกขึ้นมาจากแท่นบูชาด้วยสีหน้าซีดเซียว
.. สิ่งสุดท้ายก่อนที้เขาเห็นสติจะดับไป เห็นคือใบหน้าอันงุนงงของบาทหลวง ที่จองด้วยความฉงน ...
…ท่ามกลางโครงกระดูกนับร้อยพัน วิญญาณของเหล่าพลลาดตระเวนกลายเป็นละอองหมอกสีเงิน
ลอยเข้าไปหาสิ่งมีชีวิตร่างกำยำคล้ายมนุษย์ หากแต่มีเขาสีดำสนิทประดับอยู่บนศีรษะ
เขาลูบเครายาวสีเงินยวงด้วยความพอใจในวิญญาณที่ได้มาสะสมใหม่
พลางชูไม้เท้าร่ายเวทย์ส่งสาส์นเตือนสู่ทุกหนแห่งที่เขาจะนึกออก
หัวกะโหลกเพลิงสีส้มลอยออกมาสมทบด้วยท่าทางขี้เล่น
กรั๊กๆ
เสียงกระทบกันของกระดูกฟันกรามดังขึ้นเบาๆเมื่อมันลอยวนรอบตัวชายชรา
“มันเริ่มขึ้นแล้ว .. มันเริ่มขึ้นแล้ว หึหึหึ...” ชายผู้นั้นหัวเราะกับตัวเองเบาๆ
เขาใช้หัตถ์สีซีดลูบหัวกระโหลกเพลิงนั้นราวกับเป็นลูกแมวก็ไม่ปาน
เบื้องบนแห่งหุบเหว ทะเลทรายร้อนระอุยามเช้า สายลมที่ปราศจากไอชื้นพัดพาฝุ่นผงกระจายราวกับเป็นคลื่นในทะเล
แรงกดดันแห่งวิญญาณพวยพุ่งขึ้นมาทั่วบริเวณ… แรงขึ้นทุกขณะจนทำให้บรรดาสิ่งมีชีวิตแตกกระเจิงจากใต้เนินทราย
ครืนนนน ...
เสียงกรีดร้องของวิญญาณอาฆาตนับพันแห่งซอร์เรี่ยนดังลอยแว่วขึ้นมาสู่หุบเขามรณะฟังคล้ายลมโหยหวน
ไม่มีใครทราบว่าครั้งนี้มันแฝงถึงความอาฆาตที่มีต่อมนุษย์อย่างชัดเจนกว่าครั้งใด
ไม่มีใครรับรู้ถึงความเคียดแค้นที่สะสมมานานนับศตวรรษ
และไม่มีใครรู้ ว่านี่จะเป็นการกรีดร้องครั้งสุดท้าย เพื่อเปิดฉากมหาสงครามของพวกมันอีกครั้งหนึ่ง ...
เหนื่อยแฮะ เดะค่อยๆลง ค่อยๆแก้ไขละกันน้า ใครมีไรเสนอแนะ บอกได้นะครับ
บทที่2 : กุญแจสู่ปัญหา
ทางตะวันออกของเมืองเดธวอลเล่ย์ในยามราตรีถูกปกคลุมด้วยความเงียบสงัด
อุณหภูมิของทะเลทรายยามค่ำคืนแทบจะติดลบ บรรดาสัตว์มีพิษและอสูรขนาดใหญ่เริ่มออกมาเดินเพ่นพ่าน
จึงไม่แปลกที่ชาวเมืองทุกคนจะเก็บตัวอยู่ในบ้าน มีแต่บางคนเท่านั้นที่ยังจับกลุ่มตั้งวงก้งเหล้ากันที่ใจกลางของเมือง
... แต่แล้วความเงียบงันในยามค่ำคืนก็ถูกทำลายโดยเสียงฝีเท้าของคนๆหนึ่ง ....
... นาทีต่อมา เสียงที่ชวนให้ตกใจกันทั้งเมืองก็ดังขึ้น!! ...
“เฮ้ย! มันอยู่นั่นไง ตามจับให้ได้ เร็ว!!!”
เด็กหนุ่มคนหนึ่งกำลังวิ่งหนีกลุ่มพลทหารลาดตระเวนอย่างสุดชีวิต บรรดาพลลาดตระเวนพวกนั้นมีอาวุธครบมือ
ไม่ว่าจะเป็นปืนไรเฟิลกระบอกยาว ปืนสั้น หรือรวมไปถึงระเบิดขนาดเล็ก
.. ชาวบ้านหลายคนสะบัดผ้าม่านออกเพื่อจ้องมองเหตุการณ์เบื้องนอก แต่แทบทุกคนก็เมินเฉยราวกับเป็นเรื่องปกติ ..
เปรี้ยง !!
ไรเฟิลกระบอกหนึ่งถูกยิงขึ้นฟ้าเป็นเชิงขู่ เด็กหนุ่มชะงัก
กลุ่มพลลาดตระเวนตามชายหนุ่มทันที่บริเวณหน้าผาหินทางเข้าซากโบราณ พวกเขาตีวงล้อมรอบๆเด็กผู้โชคร้าย
สายตาจับจ้องราวจะกลืนกิน “แก บังอาจมากนะ ถ้าไม่มีผู้พันคาร์เตอร์คุ้มหัวแก ฉันเอาแกตายตั้งแต่เช้าแล้ว”
ฟุ่บ !! เคล้ง !!
สะเก็ดไฟของโลหะปากกระบอกปืนกระจายขึ้นเพราะการปะทะของอาวุธบิน
ฉึก !!
เงาบางอย่างพุ่งผ่านไปอย่างรวดเร็ว พลลาดตระเวนคนหนึ่งล้มลง ร่างนั้นมีบาดแผดที่คอ
เลือดสีแดงเข้มไหลลงมาย้อมผีนทรายสีเข้มคล้ายถูกกรีดด้วยของมีคมอย่างรวดเร็ว
ตุ้บ.. ฟู่ว!!
ระเบิดควันลูกหนึ่งถูกโยนเข้ามากลางวง อากาศบริเวณนั้นกลายเป็นสายธารหมอกในพริบตา!!
ฉัวะ!!
เงาลึกลับหมุนตัวตวัดอาวุธในมือทั้งสองปาดคอทหารรอบตัวโดยไม่สนใจเสียงร้องลั่นของเหยื่อผู้เคราะห์ร้าย
พลลาดตระเวนทั้งหมดถูกสังหารในไม่กี่วินาที !!
พลั่ก !!
ร่างของพลลาดตระเวนถูกเหวี่ยงมากระแทกเข้ากับเด็กหนุ่มที่กำลังช็อคกับเหตุการณ์เบื้องหน้า
ทำให้ทั้งเขาและร่างไร้วิญญาณของทหารตกลงสู่หุบเหว !!
..
.....
.........
ตูม !!
ลำธารเชี่ยวกรากเบื้องล่างถูกรบกวนด้วยบรรดาร่างไร้ชีวิต และเกือบจะไร้ชีวิตของมนุษย์
ผู้ที่ไม่เคยเหยียบย่างเข้าในในบริเวณนี้หลายร้อยปี
สายธาราพัดพาพวกเขาสู่แดนมรณะ สถานที่ไร้ชีวิตที่ขาดคนเหลียวแล
ส่วนหนึ่งของหุบเขาแห่งความตายที่ถูกผนึกมานับศตวรรษ ...
_______________________________________
ดวงอาทิตย์ยามเช้าทอแสงผ่านยอดไม้ กระทบลงบนใบหน้าของเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่นอนหลับอยู่บนพื้นริมตลิ่ง
เขาค่อยๆเปิดตา เพื่อปรับสายตาให้ชินกับแสงของเช้าวันใหม่ พร้อมด้วยความรู้สึกหนักๆบนตัว ...
แกร๊ก!!
...... มีดบินสีดำอันหนึ่ง หล่นลงมาจากร่างไว้วิญญาณที่ทับเขาอยู่ ……
“เหวยยยย !!” เสียงร้องลั่นของเด็กหนุ่มสะท้อนไปทั่วบริเวณ ทำเอาแร้งกาที่นั่งจ้องจะจิกไส้เขากระเจิงออกไปนับสิบเมตร
ร่างของหนุ่มน้อยดิ้นรนออกจากภายใต้ร่างของศพทหาร พร้อมกวาดสายตาไปบริเวณรอบๆ อย่างร้อนรน
“พวกทหารเลวบัดโซ้บบบ พวกแกติดค้างชีวิตชั้น ชั้นจะฆ่าแก๊” ไม่ทันหายตกใจ การระบายที่บ้าคลั่งที่สุดก็เกือบบังเกิด
เมื่อเด็กหนุ่มยกเท้าจะกระทืบร่างไร้ชีวิตของทหารซ้ำ ก่อนจะหันไปเห็นสิ่งหนึ่ง
.... อะไรก็ตามที่ทำให้ชายใจแข็งยืนนิ่งได้เป็นนาที....
มันคือโครงกระดูกของสิ่งมีชีวิตคล้ายจระเข้และมนุษย์ร่างกำยำจำนวนมากกระจัดกระจายอยู่ทั่วอาณาบริเวณ
ดวงอาทิตย์โผล่พ้นยอดไม้สาดส่องสว่าง เผยภาพเบื้องหน้าให้ชัดเจนยิ่งขึ้น
... ณ แท่นหินขนาดใหญ่ตรงกลาง ปรากฏดาบเล่มหนาสนิมเขรอะปักกลางกะโหลกโครงกระดูกสิ่งมีชีวิตประหลาด
....โครงกระดูกคล้ายจระเข้ขนาดยักษ์ที่ยืนด้วยขาสองข้าง ในท่าคุกเข่า...
ในมือของมันมีขวานเล่มยักษ์ใช้ต่างเสาค้ำยันตัวมันไม่ให้ถล่มลงไปกองเป็นชิ้นๆบนพื้น
โซ่ตรวนนับสิบที่พันธนาการโครงกระดูกขนาดยักษ์ไว้อย่างหนาแน่นช่วยเพิ่มความน่าสยดสยองของมันได้อย่างดี
.... ช่องดวงตาหลุบลึกในกระโหลกดูเหมือนจะเพ่งตรงมาบริเวณที่เขายืนอยู่ .....
เด็กหนุ่มมองด้วยสายตาหวาดกลัวระคนแปลกใจ เขาก้าวขาไปเบื้องหลังช้าๆ
แต่รองเท้าหุ้มส้นตัวดีดันไปเหยียบแจกันดินเผาโบราณแตกกระจาย...
กึก.. เคล้ง !! เครื่องจองจำอายุนับร้อยปีขาดสะบั้นลงด้วยพลังบางอย่าง
ใบขวานสีน้ำตาลแดงดูร้อนเหมือนทองกำลังหลอมละลายบนด้ามขวาสีดำสนิท
พร้อมด้วยร่างของจระเข้ขนาดยักษ์บนแท่นพลันมีเนื้อหนังราวกับสิ่งมีชีวิตพุ่งตรงเข้ามาที่ตัวเขา!!
เด็กหนุ่มเงื้อมือขึ้นกัน แม้จะรู้ว่าไม่มีทางรอด
“ผมไม่ได้ทำร้ายคุณนะ!!” พลันเสียงร้องพ้นริมฝีปากเด็กน้อย คำสาปมลายไปสิ้นด้วยเงื่อนไขแห่งมนต์โบราณ
ตูม !!
ขวานยักษ์ถูกจามลงบนพื้นดินต่อหน้าผู้บุกรุกต่างเผ่าพันธุ์ ฝุ่นหินและดินกระจายขึ้นมาจำนวนมหาศาล !!
พรึ่บ !! เคล้ง!!
ดาบเหล็กเล่มใหญ่ที่เคยปักบนศีรษะจระเข้หลุดลอยเฉียดหัวเด็กหนุ่มไปกระแทกโขดหินเบื้องหลังแตกกระจาย!!
ร่างของจระเข้ยักษ์กลายเป็นเถ้าธุลีพุ่งผ่านเด็กหนุ่ม เขายกแขนขึ้นกันหน้าด้วยความหวาดกลัว
เหลือไว้เพียงขวานหินโบราณเล่มเขื่อง คาอยู่บนพื้นดินเบื้องหน้า....
ตุบ ..
ร่างอันซีดเซียวด้วยความตกใจล้มลงนั่งกับพื้น เสียงลมหายใจเฮือกใหญ่ถูกปลดปล่อยหลังจากกลั้นไว้หลายวินาที
... ขวานหินเล่มใหญ่เบื้องหน้าเป็นหลักฐานชั้นดี ว่าเหตุการณ์เมื่อครู่ได้เกิดขึ้นจริง …
รูม่านตาของเด็กหนุ่มหดเล็กลงเมื่อมองเห็นบางอย่างบนด้ามขวาน อักขระโบราณถูกจารึกไว้อย่างปราณีตงดงาม
... อักขระโบราณหน้าตาประหลาด ?? เมื่อครู่นี้มันปรากฎขึ้นอย่างช้าๆโดยเขาไม่สังเกตอย่างนั้นหรือ ? ...
ด้วยความสงสัย มือน้อยๆของเขาเอื้อมไปคว้าขวานเล่มนั้นโดยไม่ทันคิดถึงน้ำหนัก
ไม่น่าแปลกใจที่มันแทบจะไม่ขยับเขยื้อนเลย
“ฮึบ”
สองมือของเขาสั่นเทา เมื่อพยายามออกแรงกระชากขวานเล่มนั้นขึ้นมาจากผืนดิน
ฟุ่บ!!
โดยไม่ทันตั้งตัว อักขระเวทย์เคลื่อนย้ายเรืองแสงเรืองรองจากด้ามขวานด้วยแรงกระตุ้นบางอย่าง
มันส่งร่างของเด็กหนุ่มไปสู่โบสถ์แห่งแสงสว่างในเซาท์เทิร์นฟอร์ท เมืองหลวงแห่งอาณาจักร
“ว้าย !” แม่ชีสาวผู้กำลังเก็บกวาดชั้นหนังสืออุทานด้วยความตกใจ บาทหลวงลุกขึ้นมาจากแท่นบูชาด้วยสีหน้าซีดเซียว
.. สิ่งสุดท้ายก่อนที้เขาเห็นสติจะดับไป เห็นคือใบหน้าอันงุนงงของบาทหลวง ที่จองด้วยความฉงน ...
…ท่ามกลางโครงกระดูกนับร้อยพัน วิญญาณของเหล่าพลลาดตระเวนกลายเป็นละอองหมอกสีเงิน
ลอยเข้าไปหาสิ่งมีชีวิตร่างกำยำคล้ายมนุษย์ หากแต่มีเขาสีดำสนิทประดับอยู่บนศีรษะ
เขาลูบเครายาวสีเงินยวงด้วยความพอใจในวิญญาณที่ได้มาสะสมใหม่
พลางชูไม้เท้าร่ายเวทย์ส่งสาส์นเตือนสู่ทุกหนแห่งที่เขาจะนึกออก
หัวกะโหลกเพลิงสีส้มลอยออกมาสมทบด้วยท่าทางขี้เล่น
กรั๊กๆ
เสียงกระทบกันของกระดูกฟันกรามดังขึ้นเบาๆเมื่อมันลอยวนรอบตัวชายชรา
“มันเริ่มขึ้นแล้ว .. มันเริ่มขึ้นแล้ว หึหึหึ...” ชายผู้นั้นหัวเราะกับตัวเองเบาๆ
เขาใช้หัตถ์สีซีดลูบหัวกระโหลกเพลิงนั้นราวกับเป็นลูกแมวก็ไม่ปาน
เบื้องบนแห่งหุบเหว ทะเลทรายร้อนระอุยามเช้า สายลมที่ปราศจากไอชื้นพัดพาฝุ่นผงกระจายราวกับเป็นคลื่นในทะเล
แรงกดดันแห่งวิญญาณพวยพุ่งขึ้นมาทั่วบริเวณ… แรงขึ้นทุกขณะจนทำให้บรรดาสิ่งมีชีวิตแตกกระเจิงจากใต้เนินทราย
ครืนนนน ...
เสียงกรีดร้องของวิญญาณอาฆาตนับพันแห่งซอร์เรี่ยนดังลอยแว่วขึ้นมาสู่หุบเขามรณะฟังคล้ายลมโหยหวน
ไม่มีใครทราบว่าครั้งนี้มันแฝงถึงความอาฆาตที่มีต่อมนุษย์อย่างชัดเจนกว่าครั้งใด
ไม่มีใครรับรู้ถึงความเคียดแค้นที่สะสมมานานนับศตวรรษ
และไม่มีใครรู้ ว่านี่จะเป็นการกรีดร้องครั้งสุดท้าย เพื่อเปิดฉากมหาสงครามของพวกมันอีกครั้งหนึ่ง ...
เหนื่อยแฮะ เดะค่อยๆลง ค่อยๆแก้ไขละกันน้า ใครมีไรเสนอแนะ บอกได้นะครับ
แก้ไขล่าสุดโดย Ne[M]eSi[s] เมื่อ 2010-12-03, 17:26, ทั้งหมด 4 ครั้ง
Permissions in this forum:
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
|
|